โทร

074 - 200200

โทร

074 - 200200

อุบัติเหตุฉุกเฉิน

074 - 200201

ไข้หวัดใหญ่ กับ ไข้หวัด ต่างกันอย่างไร?

ฝ่ายการตลาด | 7 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 12:38

ไข้หวัดใหญ่กลับมาเป็นที่พูดถึงอีกครั้ง เพราะมีแนวโน้มการระบาดและอัตราการเสียชีวิตที่สูงขึ้น ซึ่งนอกจากการดูแลสุขภาพให้แข็งแรงแล้วการฉีดวัคซีนป้องกันนับเป็นอีกหนึ่งวิธี

ไข้หวัดใหญ่ กลับมาเป็นที่พูดถึงอีกครั้ง เพราะมีแนวโน้มการระบาดและอัตราการเสียชีวิตที่สูงขึ้น ซึ่งนอกจากการดูแลสุขภาพให้แข็งแรงแล้ว การฉีดวัคซีนป้องกันนับเป็นอีกหนึ่งวิธี 

ไข้หวัดคืออะไร?

ไข้หวัด (Common Cold) เป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจที่เกิดจากเชื้อไวรัสหลากหลายชนิด โดยเชื้อที่พบบ่อยคือ Rhinovirus อาการของไข้หวัดธรรมดามักไม่รุนแรงและสามารถหายเองได้ภายใน 7-10 วัน


อาการของไข้หวัด

  • คัดจมูก น้ำมูกไหล
  • จาม และไอแห้ง ๆ
  • เจ็บคอ
  • มีไข้ต่ำ ๆ หรือไม่มีไข้เลย
  • อ่อนเพลียเล็กน้อย

ไข้หวัด มักไม่ส่งผลกระทบร้ายแรงและไม่ค่อยมีภาวะแทรกซ้อน อย่างไรก็ตาม อาการอาจรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันได้


ไข้หวัดใหญ่คืออะไร?
ไข้หวัดใหญ่ (Influenza หรือ Flu) เป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจที่เกิดจากเชื้อไวรัส Influenza Virus ซึ่งแบ่งออกเป็นหลายสายพันธุ์ เช่น ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A, B และ C โดยเฉพาะสายพันธุ์ A และ B ที่มักทำให้เกิดการระบาดใหญ่ทุกปี

อาการของไข้หวัดใหญ่

  • ไข้สูงเฉียบพลัน (38°C ขึ้นไป) 
  • ปวดเมื่อยตามตัวและกล้ามเนื้ออย่างรุนแรง
  • ไอแห้ง ๆ หรือไอแบบมีเสมหะ
  • เจ็บคอรุนแรง
  • ปวดศีรษะและรู้สึกอ่อนเพลียมาก
  • อาจมีอาการหนาวสั่น


ไข้หวัดใหญ่ สามารถทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดอักเสบ ไซนัสอักเสบ หรือภาวะหัวใจล้มเหลวในกลุ่มเสี่ยงโดยเฉพาะในเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคประจำตัว

 

 

การป้องกันไข้หวัดธรรมดาและไข้หวัดใหญ่


การป้องกันไข้หวัดธรรมดา

  • ล้างมือบ่อย ๆ เพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อหลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้า ตา จมูก และปาก
  • พักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เสริมวิตามิน C เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกัน


การป้องกันไข้หวัดใหญ่

  • ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ทุกปี เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ
  • หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่แออัด หรือสวมหน้ากากอนามัยเมื่อต้องอยู่ในที่สาธารณะ
  • ล้างมือบ่อย ๆ และรักษาสุขอนามัย
  • หลีกเลี่ยงการใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น


เมื่อไหร่ควรพบแพทย์?
หากมีอาการไข้สูงต่อเนื่องเกิน 3 วัน หรือมีอาการหายใจลำบาก ควรรีบพบแพทย์ทันที โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคเรื้อรัง เพราะไข้หวัดใหญ่อาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้

 

วัคซีนไข้หวัดใหญ่ ควรฉีดเมื่อไหร่ และถี่แค่ไหนจึงจะเหมาะสม?
     ช่วงอายุที่เหมาะสมสำหรับเริ่มต้นเข้ารับการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ สามารถเริ่มฉีดได้ในทารกตั้งแต่อายุ 6 เดือนขึ้นไป และจำเป็นต้องได้รับวัคซีนทุกปี ปีละ 1 ครั้ง เนื่องจากวัคซีนจะมีการเปลี่ยนชนิดสายพันธุ์ย่อยไปทุกปีตามที่องค์การอนามัยโลก (WHO) คาดว่าจะระบาดในปีนั้นๆ เพื่อเป็นการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันโรคให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันที่พร้อมรับมือกับเชื้อที่จะเข้ามาใหม่ โดยเราสามารถแบ่งตามช่วงอายุของผู้เข้ารับการฉีดได้ดังนี้

  • เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 8 ขวบ ให้ฉีด 2 เข็มในปีแรก โดยเว้นระยะเวลาให้ห่างจากเข็มแรก 1 เดือน
  • หากในปีแรกได้ฉีดเพียงครั้งเดียว ในปีถัดมาให้ฉีด 2 ครั้ง แล้วหลังจากนั้นค่อยฉีดปีละครั้งได้
  • บุคคลทั่วไปที่มีอายุ 18 ปี ขึ้นไป ให้ฉีด 1 เข็ม และต้องรับการฉีดวัคซีนกระตุ้นทุกปี


7 กลุ่มเสี่ยงที่ควรได้รับวัคซีน

  • สตรีตั้งครรภ์ที่มีอายุครรภ์ 4 เดือนขึ้นไป
  • เด็กอายุ 6 เดือน – 2 ปี
  • ผู้ที่มีโรคเรื้อรัง เช่น โรคหลอดเลือดสมอง ไตวาย มะเร็ง และเบาหวาน
  • ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป
  • ผู้พิการทางสมองที่ไม่สามารถดูแลตนเองได้
  • ผู้ที่มีดัชนีมวลกาย (BMI) มากกว่า 35 หรือมีน้ำหนักเกิน 100 กิโลกรัม
  • ผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมียและผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง

 


ประโยชน์ของการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่
          การฉีดวัคซีนช่วยกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนและลดความรุนแรงของโรคไข้หวัดใหญ่ หลังฉีดวัคซีน ร่างกายจะใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์ในการสร้างภูมิคุ้มกัน และภูมิคุ้มกันนี้จะคงอยู่ได้นานประมาณ 1 ปี ดังนั้น การฉีดวัคซีนเป็นประจำทุกปีจึงเป็นสิ่งสำคัญในการดูแลสุขภาพและป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่

 

 

วัคซีนไข้หวัดใหญ่หาดใหญ่ ถูกที่สุด 

สนใจสั่งซื้อวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ 

คลิ๊ก https://thonburirajyindee.com/checkup/detail/?package=242