การทำออกซิเจนบำบัดเพื่อรักษาแผลเบาหวาน

โรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรังที่มีผลกระทบต่อระบบต่าง ๆ ในร่างกาย โดย 1 ในอาการขึ้นชื่อที่ที่กัลงวลของผู้ป่วยเบาหวานเลยนั้นก็คือ การที่แผลหายช้าและสามารถลุกลามจนถึงกับต้องตัดส่วนนั้นๆ ออกไปเลย จนเป้นที่มาของคำว่า “หวานตัดขา”
การทำออกซิเจนบำบัด (Hyperbaric Oxygen Therapy หรือ HBOT) เป็นหนึ่งในวิธีการรักษาที่ได้รับความนิยมในการรักษาแผลเบาหวาน การบำบัดนี้คือการให้ออกซิเจนบริสุทธิ์ในห้องพิเศษที่มีความดันสูงกว่าปกติ ซึ่งจะช่วยเพิ่มปริมาณออกซิเจนในเลือดและเนื้อเยื่อต่าง ๆ ในร่างกาย
การทำงานของการทำออกซิเจนบำบัด
1. การเพิ่มการส่งออกซิเจนไปยังเนื้อเยื่อ: การทำออกซิเจนบำบัดช่วยให้ร่างกายได้รับออกซิเจนในปริมาณที่มากขึ้น ซึ่งจะช่วยในการฟื้นฟูเนื้อเยื่อที่เสียหาย
2. การลดการอักเสบและบวม: การให้ออกซิเจนในระดับสูงช่วยลดการอักเสบและบวมของเนื้อเยื่อ ทำให้แผลหายเร็วขึ้น
3. การกระตุ้นการสร้างหลอดเลือดใหม่: การทำออกซิเจนบำบัดช่วยกระตุ้นการสร้างหลอดเลือดใหม่ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการรักษาแผลที่ยากต่อการหาย
4. การฆ่าเชื้อแบคทีเรีย: การทำออกซิเจนบำบัดสามารถช่วยในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียบางชนิดที่ไม่สามารถเจริญเติบโตในสภาวะที่มีออกซิเจนสูง
ข้อดีของการทำออกซิเจนบำบัด
- ช่วยเพิ่มอัตราการหายของแผล
- ลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ
- ช่วยให้การรักษาแผลเบาหวานมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- ลดความเสี่ยงของการต้องตัดอวัยวะ

การใช้ออกซิเจนบำบัดควบคู่ไปกับการรักษาแผลเบาหวานแบบปกติ
วารสารแพทย์นาวี ได้ทำ การวิจัยเชิงเปรียบเทียบแบบย้อนหลัง พบว่า ผู้ป่วยแผลเท้าเบาหวานที่ได้รับการบำบัดด้วยออกซิเจนแรงดันสูงถูกตัดเท้าและขา ร้อยละ 49.12 และผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาแบบปกติถูกตัดเท้าและขา ร้อยละ 70.18 เมื่อเปรียบเทียบการถูกตัดเท้าและขา พบว่าผู้ป่วยที่ได้รับการบำบัด ด้วยออกซิเจนแรงดันสูงมีโอกาสถูกตัดเท้าและขาน้อยกว่ากลุ่มที่ได้รับการรักษาแบบปกติ ร้อยละ 30%
